
มิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ
เป้าหมายการจัดการด้านธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจในยุคที่ธุรกิจเผชิญความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าร่วมตลอดห่วงโซ่อุปทานควบคู่กับการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลและจรรยาบรรณทางธุรกิจ ในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ ได้ยกระดับการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนโดยบูรณาการมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจเข้ากับการพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมการปรับปรุงนิยามและขอบเขตของประเด็นสำคัญ การพัฒนาวิธีการประเมินผลกระทบ และการจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับบริบทองค์กรที่เติบโต เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน การสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสีย และการเติบโตอย่างยั่งยืน
การกำกับดูแลกิจการที่ดี
บริษัทฯ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความสุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ภายใต้กรอบกฎหมาย โดยตระหนักว่าการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชันและการให้สินบนที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นและก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน จึงได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนในการมุ่งมั่นเป็นองค์กรที่ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ พร้อมยึดมั่นในการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด
บริษัทฯ จัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลที่เป็นระบบโดยมีคณะกรรมการบริษัทกำกับดูแลในระดับสูงสุด พร้อมคณะกรรมการชุดย่อยที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ประกอบด้วย คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และคณะกรรมการบริหาร ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดทำนโยบายครอบคลุมทุกมิติ อาทิ นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี หลักจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ นโยบายป้องกันการใช้ข้อมูลภายใน นโยบายความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และนโยบายการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมดำเนินการสื่อสารและฝึกอบรมแก่ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับเพื่อปลูกฝังให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร โดยกำหนดให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนลงนามรับทราบและปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด

- ได้รับการจัดอันดับ FTSE Russell ระดับ Good ในปี 2569
- เข้าร่วมโครงการ CAC Change Agent
- ยกระดับการจัดอันดับ FTSE Russell ให้ได้ระดับ Best Practice ในปี 2570
- ต่ออายุการรับรอง CAC อย่างต่อเนื่อง
- รักษาระดับการจัดอันดับและมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างยั่งยืน
โครงการส่งเสริมจรรยาบรรณและจริยธรรมองค์กร
บริษัทฯ จัดทำโครงการส่งเสริมจรรยาบรรณและจริยธรรมองค์กรเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านจรรยาบรรณธุรกิจและหลักจริยธรรมแก่พนักงานทุกระดับให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณค่าและยั่งยืน รวมถึงการสื่อสารความรู้ในประเด็นสำคัญแก่พนักงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งประกอบด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน หลักสิทธิมนุษยชน จริยธรรมในสถานที่ทำงาน และช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อร้องเรียน (Whistleblowing Channel) โครงการนี้ยึดมั่นในการสร้างกรอบการดำเนินงานที่ให้ความเคารพและให้เกียรติพนักงาน ตลอดจนการส่งเสริมการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลและคุณธรรมในทุกขั้นตอนการทำงาน
ในปี พ.ศ. 2567 บริษัทฯ ดำเนินกิจกรรมหลัก 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างความเข้าใจพื้นฐานผ่านการประชาสัมพันธ์หลักจรรยาบรรณทางอินทราเน็ตตลอดทั้งปี การพัฒนาหลักการและเครื่องมือโดยจัดทำคู่มือหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ การจัดทำสื่อเนื้อหาดิจิทัลครอบคลุม 3 ด้านสำคัญคือเครื่องมือสร้างความโปร่งใส การแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด และการให้ความสำคัญต่อลูกค้า และการประเมินผลโดยจัดทำการทดสอบความรู้ "Speedy Quiz" ในเดือนกันยายน ผลการดำเนินงานพบว่า จากพนักงานทั้งหมด 1,231 คน มีพนักงานผ่านการทดสอบจำนวน 1,109 คน คิดเป็นร้อยละ 92.78 สำหรับพนักงานที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ บริษัทฯ ได้แจ้งให้หัวหน้าฝ่ายรับทราบเพื่อจัดการอบรมและให้ความรู้เพิ่มเติม พร้อมติดตามผลการทดสอบในครั้งถัดไปเพื่อให้พนักงานทุกคนผ่านการทดสอบอย่างครบถ้วนและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องทั่วทั้งองค์กร

โครงการเข้าร่วมแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (CAC)
บริษัทฯ ดำเนินโครงการเข้าร่วมแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (CAC) เพื่อยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ มีเป้าหมายหลักคือการได้รับการรับรองฐานะสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption: CAC) ภายในปี 2568 ซึ่งจะเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
คณะกรรมการบริษัทมีมติเข้าร่วมโครงการและประกาศเจตนารมณ์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการ บริษัทฯ ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ความรู้และจัดฝึกอบรมให้แก่พนักงานทุกระดับ จัดสัมมนาให้ความรู้หลักสูตรการต่อต้านการคอร์รัปชัน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์นโยบายให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จัดทำจดหมายแจ้งคู่ค้าเพื่อสร้างความร่วมมือ และกำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม มีแผนดำเนินการประเมินผลในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 เพื่อยื่นขอรับรอง CAC ในเดือนพฤษภาคม 2568 และคาดว่าจะได้รับการประกาศผลการรับรองในเดือนพฤศจิกายน 2568
โครงการส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในและภายนอกองค์กร
บริษัทฯ ดำเนินโครงการส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในและภายนอกองค์กรเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบและขยายแนวปฏิบัติที่ดีไปสู่ห่วงโซ่ธุรกิจ มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักรู้และความมุ่งมั่นในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันให้แก่บุคลากรทุกระดับ ตลอดจนส่งเสริมให้คู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจร่วมยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเดียวกัน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล

การดำเนินงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ในส่วนภายในองค์กร บริษัทฯ กำหนดให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนลงนามรับทราบนโยบายการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน สื่อสารแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสผ่านอินทราเน็ตและเว็บไซต์ จัดการอบรมโดยวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และการอบรมออนไลน์ โดยมีผู้บริหารและพนักงานเข้าร่วมจำนวน 258 คน พร้อมจัดปฐมนิเทศแก่พนักงานใหม่ ในส่วนภายนอกองค์กร บริษัทฯ แจ้งนโยบายแก่คู่ค้าอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้มีคู่ค้ารายใหม่จำนวน 89 บริษัทลงนามรับทราบและยึดถือปฏิบัติ พร้อมรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยกำหนดเป้าหมายให้คู่ค้ารายใหม่ทั้งหมดและคู่ค้าเก่า Tier 1 ลงนามรับทราบครบ ร้อยละ 100 เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน
กรณีของการฝ่าฝืนจรรยาบรรณธุรกิจ (กรณี) | ปี 2567 |
---|---|
การร้องเรียนที่ฝ่าฝืนจรรยาบรรณธุรกิจ | |
การทุจริตคอร์รัปชัน | 4 |
ผลประโยชน์ทับซ้อน | 0 |
การฝ่าฝืนกฎระเบียบภายในของบริษัทฯ | 3 |
การขัดขวางการแข่งขันทางการค้า | 0 |
การร้องเรียนด้านอื่น ๆ | |
สังคมและชุมชน | 0 |
สิ่งแวดล้อม และอาชีวอนามัยและความปลอดภัย | 0 |
การละเมิดสิทธิมนุษยชน | 0 |
อื่น ๆ | 0 |
การดำเนินการภายหลังที่ผ่านการสอบสวนและยืนยันว่าฝ่าฝืนจรรยาบรรณธุรกิจ (กรณี) | ปี 2567 |
---|---|
พ้นสภาพการเป็นพนักงาน | 4 |
ลงโทษทางวินัย | 3 |
ไม่มีบทลงโทษ | 0 |
โอนย้ายสาขา | 0 |
อื่น ๆ | 0 |
สำหรับกรณีการทุจริตคอร์รัปชันทั้ง 4 กรณี ภายหลังการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำความผิดจริง บริษัทฯ ได้พิจารณาลงโทษสูงสุดด้วยการให้พนักงานที่เกี่ยวข้องพ้นสภาพการเป็นพนักงานโดยทันที ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมาตรการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของบริษัทฯ ที่มีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด
การบริหารจัดการความเสี่ยง
บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยเชื่อมั่นว่าการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ที่มีประสิทธิภาพจะสร้างคุณค่าร่วมในระยะยาวทั้งในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การลดต้นทุน และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย นอกจากนี้ การบริหารความเสี่ยงด้าน ESG เป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต บริษัทฯ กำหนดนิยาม "ความเสี่ยง" ว่าเป็นโอกาสหรือเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนซึ่งอาจส่งผลให้แผนงานไม่บรรลุวัตถุประสงค์และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อองค์กรทั้งในด้านการเงิน ภาพลักษณ์และชื่อเสียง
บริษัทฯ ดำเนินนโยบายบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบตามมาตรฐาน COSO ครอบคลุมทุกระดับตั้งแต่คณะกรรมการบริษัทจนถึงบุคลากรทุกคน โดยมุ่งเน้นจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการบรรลุวัตถุประสงค์ ขอบเขตการบริหารความเสี่ยงประจำปี 2567 ครอบคลุม 5 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและการแข่งขัน (2) ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการมุ่งเน้นประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานและห่วงโซ่อุปทาน (3) ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (4) ความเสี่ยงด้านการเงินครอบคลุมการบริหารสภาพคล่องและการควบคุมต้นทุน และ (5) ความเสี่ยงด้าน ESG นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้พิจารณาเพิ่มกรอบการบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งผ่านการอนุมัติแล้วและจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2568 การดำเนินงานยึดกรอบมาตรฐาน COSO ครอบคลุมการกำกับดูแลและสร้างวัฒนธรรมองค์กร การกำหนดกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ การประเมินและจัดการความเสี่ยง การทบทวนและปรับปรุง รวมถึงการสื่อสารและรายงานผล

ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG Risk)
- การจัดทำ BCP ขององค์กรให้ครอบคลุมความเสี่ยงของการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจให้ครบทุกมิติภายในปี 2570
- การพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างยั่งยืน
- การบูรณาการการบริหารความเสี่ยงเข้ากับทุกกระบวนการทำงานขององค์กรอย่างสมบูรณ์
โครงการเสริมสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการเสริมสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการทบทวนและทดสอบแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายในการทบทวนและพัฒนาแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงสำคัญขององค์กร อันเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน
จรรยาบรรณคู่ค้า
บริษัทฯ ได้กำหนดจรรยาบรรณคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) ที่ครอบคลุมทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โดยมุ่งเน้นการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานเด็ก การดูแลสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม จรรยาบรรณดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทและช่องทางสื่อสารต่าง ๆ เพื่อให้คู่ค้าทุกรายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทั่วถึง


การจัดกลุ่มและบริหารจัดการคู่ค้า
บริษัทฯ จัดแบ่งกลุ่มคู่ค้าออกเป็น 4 ระดับตามมูลค่าการซื้อขายและความสำคัญของผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยในการจัดลำดับความสำคัญในการบริหารจัดการ:
- Tier 1 (คู่ค้ารายสำคัญ): มียอดซื้อเกิน 10 ล้านบาทต่อปีและไม่มีผลิตภัณฑ์ทดแทน ต้องลงนามรับทราบจรรยาบรรณคู่ค้า
- Tier 2: มียอดซื้อเกิน 10 ล้านบาทต่อปีแต่มีผลิตภัณฑ์ทดแทนได้
- Tier 3: มียอดซื้อระหว่าง 1-10 ล้านบาทต่อปี
- Tier 4: มียอดซื้อไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อปี
การจัดกลุ่มดังกล่าวช่วยให้บริษัทฯ สามารถให้ความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรในการบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม โดยเริ่มจากคู่ค้ากลุ่ม Tier 1 ก่อนขยายผลไปยังกลุ่มอื่น ๆ ตามลำดับ
ระบบการประเมินและติดตามผล
บริษัทฯ พัฒนาระบบการประเมินคู่ค้าที่มีเกณฑ์ชัดเจน โดยกำหนดให้คู่ค้าต้องมีคะแนนรวมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 และคะแนนด้าน ESG มากกว่าร้อยละ 60 พร้อมทั้งมีการติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการติดตามผลการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องที่พบเพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าได้ดำเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง


การพัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้า
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้าในเชิงบวก โดยสร้างความเข้าใจในแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน การดำเนินงานดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของคู่ค้าให้สูงขึ้น
บริษัทฯ มีการจัดเก็บข้อมูลการประเมินและการปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการตัดสินใจและพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจในระยะยาว พร้อมทั้งทบทวนและปรับปรุงการบริหารจัดการคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
- คู่ค้าทุกรายต้องผ่านเกณฑ์การประเมินขั้นต่ำ
- คะแนนประเมินคู่ค้าเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 50
- คะแนนประเมินด้าน ESG มากกว่า ร้อยละ 60
- ร้อยละ 100 ของคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องไม่มีการละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมและกฎหมายด้านสังคม
- ยอดการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทในประเทศไทยเพื่อจำหน่าย ร้อยละ 30 ต่อปี
- คู่ค้ารายสำคัญ (Tier 1) ในประเทศไทย ร้อยละ 80 ได้รับการตรวจสอบ ESG on Site ภายในปี 2570
- สร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์
- พัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับคู่ค้าในการสร้างนวัตกรรมด้านความยั่งยืน
โครงการฝึกอบรมและการสื่อสารด้านจรรยาบรรณคู่ค้า
บริษัทจัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักจรรยาบรรณทางธุรกิจกับคู่ค้า สร้างความตระหนักในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานจริยธรรม และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนบนหลักความเป็นธรรมและโปร่งใส
กิจกรรมหลัก
- การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทั้งรูปแบบออนไลน์และ On-site Training เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านจรรยาบรรณและแนวทางปฏิบัติ
- การจัดทำคู่มือจรรยาบรรณคู่ค้า (Supplier Code of Conduct Handbook) ที่รวบรวมแนวทางปฏิบัติอย่างชัดเจนและครอบคลุม
- การสื่อสารภายในองค์กรอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในทุกระดับ

ผลการดำเนินงานปี 2567
คู่ค้ารายสำคัญภายในประเทศลงนามในจรรยาบรรณคู่ค้าครบถ้วน
คู่ค้ามีความรู้และความเข้าใจเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญ
สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนและเพิ่ม
บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานตามนโยบายการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนโดยคู่ค้ารายสำคัญ (Tier 1) ในประเทศทั้ง 11 ราย ได้ลงนามรับทราบและยืนยันการปฏิบัติตามจรรยาบรรณคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) ครบถ้วน คิดเป็นร้อยละ 100 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทฯ ซึ่งสะท้อนถึงการสร้างความร่วมมือที่มั่นคงกับคู่ค้า ในด้านการประเมินผลการดำเนินงานของคู่ค้า ตลอดปี 2567 พบว่า คู่ค้าทุกรายผ่านเกณฑ์การประเมินทั้งด้านการดำเนินงานและด้านความยั่งยืน โดยไม่พบคู่ค้ารายใดที่มีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ จากการติดตามและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าในประเทศไทย ไม่พบกรณีการละเมิดหรือความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การละเมิดกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ความสำเร็จนี้เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาและรักษาความยั่งยืนภายในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
ความมั่นคงทางไซเบอร์และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
ด้วยการขยายตัวของช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางไซเบอร์และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลในฐานะปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ การเติบโตของระบบออนไลน์ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การโจมตีด้วยมัลแวร์ แรนซัมแวร์ และการรั่วไหลของข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชื่อเสียง การเงิน และความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบกับข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น อาทิ GDPR และ PDPA ที่กระตุ้นให้องค์กรยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทฯ จึงกำหนดนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศและไซเบอร์ รวมทั้งนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับกฎหมายไทย โดยจัดตั้งคณะทำงาน PDPA และฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก พร้อมมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ได้แก่ การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล การกำหนด Firewall สำหรับระบบ AD Domain การทบทวนสิทธิ์เป็นประจำทุกปี และการทำลายข้อมูลที่ไม่ใช้งานอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังว่าจ้างหน่วยงานภายนอกทำการประเมินความเสี่ยงผ่าน Vulnerability Assessment และ Penetration Test เพื่อค้นหาช่องโหว่และปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดให้มีการทบทวนและสอบทานมาตรการความปลอดภัยอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียในยุคดิจิทัล

- กรณีการละเมิดระบบหรือภัยคุกคามความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศหรือเหตุการณ์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อื่น ๆ เท่ากับศูนย์
- กรณีการละเมิดข้อมูล อันประกอบด้วยการรั่วไหล การโจรกรรม และการสูญหายของข้อมูลส่วนบุคคลเท่ากับศูนย์
- จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเท่ากับศูนย์
- จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานที่กำกับดูแลเท่ากับศูนย์
- กรณีการละเมิดระบบหรือภัยคุกคามความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศหรือเหตุการณ์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อื่น ๆ เท่ากับศูนย์
- กรณีการละเมิดข้อมูล อันประกอบด้วยการรั่วไหล การโจรกรรม และการสูญหายของข้อมูลส่วนบุคคลเท่ากับศูนย์
- จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเท่ากับศูนย์
- จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานที่กำกับดูแลเท่ากับศูนย์
โครงการอบรมให้รู้เท่าทันภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Awareness Training)
บริษัทฯ จัดหลักสูตรอบรมการรู้เท่าทันภัยทางไซเบอร์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ นำไปสู่การใช้งานระบบสารสนเทศและเครือข่ายองค์กรอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับนโยบายบริษัทฯ ในปี 2567 มีพนักงานเข้าร่วมการอบรมจำนวน 275 คน คิดเป็น ร้อยละ 84 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด โดย ร้อยละ 95 ของผู้เข้าร่วมสามารถผ่านเกณฑ์การประเมินความเข้าใจ สะท้อนประสิทธิภาพของหลักสูตรในการเสริมสร้างความรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พร้อมสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ภายในองค์กร ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศอย่างยั่งยืน

โครงการตรวจสอบช่องโหว่และทดสอบเจาะระบบ (Vulnerability Assessment and Penetration Testing)
ในปี 2567 บริษัทฯ ดำเนินโครงการตรวจสอบช่องโหว่และทดสอบเจาะระบบเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระบบเครือข่ายและแอปพลิเคชันที่สำคัญขององค์กร โดยครอบคลุมการตรวจสอบระบบเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และแอปพลิเคชันที่มีความสำคัญ พร้อมจัดทำรายงานผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงมาตรการป้องกัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบจำนวน 2 ครั้ง ควบคู่กับการจำลองเหตุการณ์การโจมตีด้วยอีเมลหลอกลวง (Phishing Simulation) อีก 2 ครั้ง เพื่อประเมินระดับความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศของบุคลากร
ผลการดำเนินงานพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยรวม 24 รายการ โดยมีช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงระดับสูงจำนวน 15 รายการ ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว 6 รายการ และวางแผนแก้ไขช่องโหว่ที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 ในระหว่างนี้ บริษัทฯ ได้เสริมมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม อาทิ การอัปเดตซอฟต์แวร์ การปรับปรุงการตั้งค่าความปลอดภัย และการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการเข้าถึงระบบ การดำเนินโครงการดังกล่าวสะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งานระบบ อันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างยั่งยืน
โครงการปรับปรุงระบบ Firewall ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในปี 2567 บริษัทฯ ดำเนินการปรับปรุงระบบ Firewall เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายภายในองค์กร โดยระบบ Firewall ที่ได้รับการปรับปรุงมีความสามารถในการตรวจสอบและกรองข้อมูลที่เข้า-ออกระบบเครือข่าย ป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตจากภายนอก ตรวจจับและป้องกันกิจกรรมที่ผิดปกติบนระบบเครือข่าย ควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงป้องกันการเชื่อมต่อไปยังเนื้อหาที่เป็นอันตราย
การปรับปรุงระบบดังกล่าวได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2567 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ เสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่าย และยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยสารสนเทศขององค์กรให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินดิจิทัลอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
ผลการดำเนินงานปี 2567
ฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แก่พนักงานกลุ่มเป้าหมาย
ไม่พบกรณี
บริษัทฯ ดำเนินการตามแผนงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเป็นระบบ โดยจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แก่พนักงานกลุ่มเป้าหมายจำนวน 327 คน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบช่องโหว่ในระบบสารสนเทศและปรับปรุงระบบ Firewall เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคาม ผลการดำเนินงานในปี 2567 สะท้อนประสิทธิภาพของมาตรการเชิงรุก โดยไม่พบกรณีการละเมิดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผลจากการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ อาทิ ระบบ Firewall ประสิทธิภาพสูง การเข้ารหัสข้อมูลที่สำคัญ การตรวจสอบความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และการบริหารจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลอย่างเคร่งครัด
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มพนักงานผ่านการจัดอบรมเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์และแนวปฏิบัติตามนโยบายด้านข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมาตรการดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการขอรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อยกระดับการดำเนินงานในระยะยาวและสร้างความมั่นใจในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลระดับสากล
ความมั่นคงทางไซเบอร์ | 2565 | 2566 | 2567 |
---|---|---|---|
กรณีการละเมิดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศหรือเหตุการณ์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อื่น ๆ | 0 | 0 | 0 |
กรณีการละเมิดข้อมูล อันประกอบด้วยการรั่วไหล การโจรกรรม และการสูญหายของข้อมูลส่วนบุคคล | 0 | 0 | 0 |
การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล | 2565 | 2566 | 2567 |
---|---|---|---|
จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล | 0 | 0 | 0 |
จำนวนข้อร้องเรียนเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานกำกับดูแล | 0 | 0 | 0 |
การพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการ
นวัตกรรมด้านกระบวนการเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยขับเคลื่อนหลักประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยน ความจำเป็นในการลดต้นทุนการดำเนินงาน และการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการลดการใช้ทรัพยากร การพัฒนากระบวนการส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้เสียในหลากหลายมิติ โดยช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้า ลดภาระงานที่ซ้ำซ้อนของพนักงาน และเปิดโอกาสให้คู่ค้าและพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม แม้ว่าในระยะเปลี่ยนผ่านอาจมีความท้าทายในการปรับตัวและเรียนรู้ระบบใหม่
บริษัทฯ กำหนดแนวทางการพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการที่ครอบคลุมการดำเนินงานในทุกมิติ ผ่านการนำระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้สำหรับกระบวนการที่มีความซ้ำซ้อน เช่น การตั้งหนี้อ้างอิงใบสั่งซื้อแบบอัตโนมัติและการตรวจสอบเอกสารผ่านระบบ การบูรณาการระบบสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานสนับสนุนการทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การบริหารจัดการหน้าร้าน การจัดการคำสั่งซื้อ การกระจายสินค้า และการบริหารคลังสินค้า รวมถึงการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบการติดตามและประเมินผลโครงการนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์และพัฒนาต่อยอดการปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างยั่งยืน

กระบวนการพัฒนา
บริษัทฯ มอบหมายให้ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการและพัฒนาระบบเทคโนโลยีขององค์กร โดยในปี 2567 และ 2568 มุ่งเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร บริษัทฯ กำหนดขั้นตอนการพัฒนาและบูรณาการระบบเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
กระบวนการพัฒนาทั้ง 5 ขั้นตอนนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการอย่างยั่งยืนในปี 2567 และระยะยาว
- พัฒนาการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบรายงานอัตโนมัติที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละฝ่าย
- พัฒนาระบบ Data Transformation and Analytics เพื่อพัฒนา Data Center ให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนในกระบวนการต่าง ๆ หรือสร้างนวัตกรรมและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว
- พัฒนาระบบสื่อเทคโนโลยีหรือออนไลน์ (E-Learning) ที่เหมาะสมและทันสมัย เพื่อเสริมสร้างทักษะและความรู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
- พัฒนาระบบบริหารคลังสินค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในส่วนจัดการสินค้า และลดการขาดแคลนสินค้าหรือสินค้าล้นคลัง
- เพิ่มการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติในการดำเนินงานของ Supply Chain เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความรวดเร็วและแม่นยำ ลดการพึ่งพามนุษย์ในการจัดการกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการตั้งแต่การจัดหา จนถึงการจัดส่งสินค้า
- พัฒนาระบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานในองค์กรเพื่อความสะดวก รวดเร็วและแม่นยำ ในการทำงาน และ ใช้ AI ในการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, การจัดการกระบวนการผลิต, การสนับสนุนลูกค้า และการวางแผนทางธุรกิจ
- พัฒนาระบบ Dashboard ขนส่งแบบเรียลไทม์ ติดตามและตรวจสอบสถานะการขนส่งได้ทันที และปรับปรุงการวางแผนการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
โครงการพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการ

โครงการพัฒนาระบบขายหน้าร้าน (Point of Sale System Development)

โครงการพัฒนาระบบ SAP การตั้งหนี้ (SAP Accounts Payable System Development)

โครงการพัฒนาโปรแกรม Park Invoice without PO (Non-PO Invoice Management System)

โครงการพัฒนาโปรแกรม Transfer Deferred Input VAT (VAT Management System)

โครงการพัฒนาระบบ SAP การตรวจนับทรัพย์สิน (SAP Asset Management System Development)

โครงการพัฒนาระบบ SAP การจัดทำงบการเงิน (SAP Financial Statement Preparation System)

โครงการพัฒนาระบบ SAP การวางแผนนำเข้าสินค้า (SAP Import Planning System Development)

โครงการพัฒนาระบบการทำงานเพื่อรองรับคำสั่งซื้อประเภทออนไลน์ (E-commerce Order Management System Development)

โครงการ e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Tax Invoice System)
คุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยตระหนักว่าเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริงจะสร้างความประทับใจ ความไว้วางใจ และความภักดีจากลูกค้า ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตและความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการลงทุนในคุณภาพเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ช่วยลดต้นทุนจากการแก้ไขปัญหา การรับคืนสินค้า และการเสียลูกค้า รวมถึงเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคต้องการมากกว่าแค่สินค้าที่ใช้งานได้ แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัทฯ กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งาน การคัดเลือกคู่ค้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน การตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนแผนการรับคืนสินค้าที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน บริษัทฯ มุ่งควบคุมและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยตั้งเป้าหมายลดข้อร้องเรียนด้านคุณภาพและรับฟังข้อเสนอแนะจากลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

- ร้อยละ 1 ของข้อร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพต่อยอดขายรายปี
- กำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันหลังการตอบรับข้อร้องเรียนด้านคุณภาพ
- พัฒนาระบบวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางป้องกันข้อร้องเรียนด้านคุณภาพ
- ร้อยละ 1 ของข้อร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพต่อยอดขายรายปี
- จัดทำและประกาศใช้นโยบายด้านคุณภาพและการเรียกคืนผลิตภัณฑ์
- พัฒนาระบบการจัดการคุณภาพเชิงป้องกันที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการผลิต
โครงการการประเมินคุณภาพคู่ค้าเพื่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ
บริษัทฯ ดำเนินโครงการการประเมินคุณภาพคู่ค้าเพื่อคัดเลือกและประเมินคู่ค้าตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้ได้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และสอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยครอบคลุมการตรวจสอบมาตรฐานการผลิต การรับรองที่เกี่ยวข้อง และหลักความยั่งยืน เพื่อให้ได้คู่ค้าที่มีการดำเนินงานได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมความรับผิดชอบตลอดห่วงโซ่อุปทาน บริษัทฯ กำหนดให้คู่ค้าทุกรายต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งพิจารณาทั้งในมิติด้านศักยภาพทางธุรกิจและมิติด้านความยั่งยืน

บริษัทฯ มีกระบวนการประเมินคู่ค้าใหม่ทุกรายตามแบบประเมินมาตรฐานก่อนเริ่มความสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการประเมินด้านศักยภาพทางธุรกิจ คุณภาพผลิตภัณฑ์ และการตรวจสอบใบรับรองมาตรฐานตามข้อกำหนดทางกฎหมาย เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ประเมินผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่ค้าทุกรายตามเกณฑ์ที่กำหนด และดำเนินธุรกิจเฉพาะกับคู่ค้าที่ผ่านการประเมินเท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าคู่ค้าทุกรายมีศักยภาพในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

โครงการจัดทำขั้นตอนการรับคืนสินค้า (Product Return Process Development)
บริษัทฯ พัฒนาและจัดทำขั้นตอนการรับคืนสินค้าอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการจัดการการรับคืนสินค้าจากลูกค้า โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า ลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการให้บริการขององค์กร กระบวนการรับคืนสินค้าครอบคลุมตั้งแต่การจัดการสินค้าที่หน้าร้านจนถึงการส่งกลับคลังสินค้า โดยรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนหรือคืนสินค้าที่พบความชำรุดบกพร่อง การแก้ไขกรณีการรูดบัตรเครดิตผิดพลาด และการจัดการกรณีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือระบบ QR Payment ไม่สำเร็จ
บริษัทฯ กำหนดกระบวนการทำงานที่เป็นระบบใน 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:
1. การตรวจรับสินค้า - ตรวจสอบข้อมูลราคาและจำนวนผลิตภัณฑ์ สัญลักษณ์และมาตรฐานการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคุณภาพบรรจุภัณฑ์
2. การจัดการสินค้าชำรุด - ติดต่อประสานงานกับคู่ค้าทันทีเพื่อวิเคราะห์สาเหตุและกำหนดแนวทางแก้ไข
3. การประสานงานกับคู่ค้า - แจ้งรายละเอียดปัญหา จัดส่งภาพถ่ายสินค้าชำรุด และดำเนินการตามเงื่อนไขการคืนหรือเคลมสินค้าที่กำหนด
โครงการเริ่มดำเนินการในปี 2567 และกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำขั้นตอนการรับคืนและเรียกคืนสินค้า พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและเยียวยารวมถึงการจัดทำคู่มือสำหรับพนักงานเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืน